วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สลด! พ่อวอนฆ่าลูกแฝดหัวติด เหตุไม่อยากให้ทรมาน








เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก indiatoday.intoday.in และ smh.com

          สลด เด็กแฝดชาวอินเดียหัวติดกัน ไม่สามารถผ่าตัดแยกออกจากกันได้ พ่อวอนรัฐบาลช่วยรักษาหรือไม่ก็ทำให้ตายอย่างสงบ

          เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานเรื่องอันน่าสลดใจของเด็กแฝดหัวติดกัน ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยอย่างแสนสาหัสจากอาการผิดปกติของร่างกาย ซึ่งพ่อของเด็กได้วิงวอนทางรัฐบาลให้ช่วยรักษาให้อาการดีขึ้น หรือไม่ก็อนุญาตให้แพทย์ทำการุณยฆาต เพื่อให้เด็กแฝดทั้งสองคนจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

          ซาบา และ ฟาราห์ ชาคีล วัย 15 ปี เด็กหญิงฝาแฝดชาวอินเดียผู้น่าสงสาร เกิดมาด้วยความผิดปกติของร่างกาย อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจาก โมฮัมเหม็ด พ่อของพวกเธอเป็นเพียงคนขายชา และต้องนำเงินมาเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวถึง 8 คนด้วยกัน อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เด็กหญิงทั้งสองได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้าชายแห่งราชวงศ์อาบูดาบี เมื่อ 5 ปีก่อน แต่อาการของเด็กแฝดทั้งสองกลับไม่ดีขึ้นเลย

          ตามรายงานระบุว่า เด็กแฝดทั้งสองเคยเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดแยกร่างกายออกจากกัน โดย เบนจามิน คาร์สัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวด้วยความหนักใจว่า การผ่าตัดแยกเด็กทั้งสองเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากพวกเธอมีเส้นเลือดในสมองร่วมกัน และมีไตแค่ 2 อัน ซึ่งอยู่ในร่างของฟาราห์เพียงคนเดียวเท่านั้น และต้องทำการผ่าตัดอย่างน้อย 6 ครั้ง มีโอกาสรอดเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้น โมฮัมเหม็ดจึงไม่เสี่ยงให้แพทย์ทำการผ่าตัด

          โดยในขณะนี้ เด็กทั้งสองอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง พร้อมกับอาการเจ็บปวดทางร่างกายอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งเป็นที่เศร้าสลดสำหรับผู้เป็นพ่อเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุด เขาจึงตัดสินใจว่าหากไม่สามารถช่วยรักษาอาการลูกแฝดของเขาให้ดีขึ้นได้ ก็วอนขอให้แพทย์ทำการุณยฆาต หรือช่วยทำให้ลูกจากโลกนี้ไปอย่างสงบ เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไทยเอามั่ง สร้างกระแส พับเพียบไทยแลนด์ กลบแพลงกิ้ง



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊กพับเพียบไทยแลนด์
          สืบเนื่องจากกรณีกระแสแพลงกิ้งสุดฮิตกำลังมาแรงในประเทศไทยขณะนี้ จนมีผู้ที่ร่วมโพสท่าแพลงกิ้งกันอย่างกว้างขวาง ทั้งวัยรุ่น ดารา ไม่เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์ ตามสถานที่แปลก ๆ จนเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข  ต้องออกโรงเตือนกันให้วุ่น โดยเกรงว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจอย่างหนึ่ง
          อย่างไรก็ตาม วานนี้ (17 มิถุนายน) มีกลุ่มบุคคลได้ตั้งเว็บเพจบนเว็บไซต์เฟซบุ๊กแหวกแนวขึ้นมาบ้าง โดยใช้ชื่อว่า “พับเพียบไทยแลนด์” เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยได้ดึงเอาเอกลักษณ์ของไทยคือ การนั่งพับเพียบ มาเป็นจุดเด่น  โดยมีรายละเอียดของเว็บเพจว่า "วันนี้คุณพับเพียบแล้วหรือยัง? ไม่อันตราย งามอย่างไทย ผู้ใหญ่รัก" เพื่อชูเอกลักษณ์ความเป็นไทย รวมถึงแหวกกระแสสู้กับท่าแพลงกิ้ง ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ โดยได้เชิญชวนให้ผู้สนใจเข้ามากดไลค์ พร้อมกับโพสรูปถ่ายท่านั่งพับเพียบแบบเก๋ ๆ น่ารัก ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ อาทิ บนโถชักโครก บนตู้เย็น บนชั้นวางของ บนเก้าอี้ในที่ทำงาน ฯลฯ
          สำหรับ กระแสพับเพียบไทยแลนด์ขณะนี้ มียอดผู้กดไลค์เกือบ 50,000 คนแล้วภายใน 1 วัน ซึ่งแซงหน้าเว็บเพจแพลงกิ้งแห่งประเทศไทยเลยทีเดียว เอาล่ะค่ะ ลองไปดูกันว่า แต่ละคนจะมีลีลาการโพสท่าพับเพียบได้เก๋ขนาดไหน…












ตำรวจตั้งนำจับยิงนายก ฯ อบจ.ลพบุรี 3 แสน


ตำรวจตั้งนำจับยิงนายก ฯ อบจ.ลพบุรี 3 แสน



ตำรวจตั้งนำจับยิงนายก ฯ อบจ.ลพบุรี 3 แสน (ไอเอ็นเอ็น)

          ที่ปรึกษา สบ 10 เผย คดีลอบยิง นายก อบจ.ลพบุรี คืบหน้ามาก คาด 2-3 วัน ออกหมายจับได้ ขณะที่ จ.ลพบุรี ปรับเป็นพื้นที่สีแดงแล้ว ด้านโฆษก สตช. เผย ตั้งรางวัลนำจับมือยิง 3 แสน คนขี่ จยย. พาหลบหนี 1 แสน 

          พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา สบ 10 แถลงข่าว ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเปิดเผยเกี่ยวกรณีที่ คนร้าย ลอบยิง นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายก อบจ.ลพบุรี ว่าการสืบสวนล่าสุดขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก เนื่องจากการให้การของพยานเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ก็จะสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ลงพื้นที่แล้ว โดยขณะนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า เป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือไม่ จึงต้องรอให้ประเด็นชัดเจนก่อน
          ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียหน้าแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดูแลและเข้มงวดการเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นโค้งสุดท้ายในการหาเสียงเลือกตั้ง ในส่วนการปรับระดับการดูแลความปลอดภัย ในพื้นที่ ขณะนี้ จ.ลพบุรี ปรับจากพื้นที่สีเหลืองเป็นพื้นที่สีแดง ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งในขณะนี้ระดับการดูแลความปลอดภัยจะเป็นสีขาว 30 จังหวัด สีเหลือง 19 จังหวัด สีส้ม 23 จังหวัด สีแดงต้องเฝ้าระวัง 4 จังหวัด และสีแดงเข้ม เฝ้าระวังพิเศษ 1 จังหวัด คือ จ.สมุทรปราการ ส่วนยอดรวมผู้สมัคร ส.ส. ที่ขอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมกันแล้ว มีจำนวน 377 คน ซึ่ง จ.ลพบุรี มีจำนวน 8 คน หลังจากเกิดเหตุลอบยิง นายก อบจ.ลพบุรี อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการสูญเสีย และเหตุรุนแรง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตั้งด่านสกัดกั้นตรวจอาวุธปืน ตั้งแต่ วันที่ 16 พ.ค. จนถึงขณะนี้ สามารถตรวจยึดอาวุธปืนได้จำนวน 163 กระบอก

          ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการตั้งรางวัลนำจับให้แก่ ผู้ที่แจ้งเบาะแส จนสามารถจับกุมมือยิง นายสุบรรณ นายก อบจ.ลพบุรี ได้ จำนวน 300,000 บาท และเบาะแสจนสามารถจับกุมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ พาคนร้ายหลบหนี จำนวน 100,000 บาท แล้ว

[17 มิถุนายน] หมอเผย นายกฯ อบจ.ลพบุรี ถูกยิงกระสุนฝังกะโหลก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
ยิง นายก อบจ.ลพบุรี

ยิง นายก อบจ.ลพบุรี

ยิง นายก อบจ.ลพบุรี


           แพทย์นิติเวช เผย ผลชันสูตรศพ นายก อบจ.ลพบุรี พบ กระสุนฝังกะโหลก และตัดเส้นเลือกใหญ่ จนเสียชีวิต ขณะที่ญาติ ติดต่อ ขอรับศพไปบำเพ็ญกุศล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่เร่งติดตามคดียิง นายก อบจ.ลพบุรี เผยเจ้าตัวทราบก่อนถูกปองร้าย

           นายแพทย์ จรูญศักดิ์ นวลแจ่ม หัวหน้าภาควิชา นิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล เปิดเผยผลชันสูตรศพของ นายกเจี๊ยบ  หรือ  นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายก อบจ.ลพบุรี เปิดเผยผลชันสูตรศพของ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายก อบจ.ลพบุรี หัวคะแนนคนสำคัญองพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 16 มิถุนายน ว่า จากการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย พบรอยกระสุน จำนวน 2 แห่ง โดยแห่งแรกพบที่ศีรษะด้านซ้าย กระสุนทะลุกะโหลก ดั้งจมูกขวา โดยรอยแผลดังกล่าวไม่ได้ทำลายเนื้อสมอง จึงไม่เป็นเหตุของการเสียชีวิต

           ส่วนแห่งที่ 2 รอยกระสุนเข้าที่ขมับซ้าย ทะลุปอดด้านซ้าย ตัดเส้นเลือกใหญ่ จึงทำให้มีเลือดออกมากในช่องท้อง และเป็นเหตุทำให้เสียชีวิต ส่วนอาการของผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ราย ขณะนี้ได้รับรายงานจากแพทย์ผู้รักษาว่า อาการปลอดภัยแล้ว
           อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลวชิระ ขณะนี้มีบรรดาญาติของ นายสุบรรณ มารอรับศพ เพื่อเคลื่อนย้ายไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนา ท่ามกลางสื่อมวลชนหลายสำนัก ที่มารอทำข่าว

           ทางด้าน พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุคนร้ายบุกยิง นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี พี่ชาย น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ผู้สมัคร ส.ส.ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย เสียชีวิต ภายในตลาดราชดำเนินพลาซ่า ตรอกมะยม ถนนราชดำเนิน แขวงตลาดยอด เขตพระนคร หลังที่จอดรถบริเวณหลังกองสลากกินแบ่งรัฐบาล วานนี้ (16 มิถุนายน) โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ประชุม และมีการแบ่งงานในการลงพื้นที่สืบสวนไปแล้ว ส่วนสาเหตุนั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจไปที่ประเด็นใดเพียงประเด็นเดียว เนื่องจากมีหลายสาเหตุที่อาจเป็นปมสังหารครั้งนี้ได้

           ส่วนพฤติกรรมคนร้ายนั้น จากการสืบสวนสอบสวน เชื่อว่า คนร้ายน่าจะมีการติดตามมาจากพื้นที่ จ.ลพบุรี และน่าจะมีมา 2 คน โดยอาจมีคนที่พามือปืนหลบหนี หรือชี้เป้าอีก 1 คน ซึ่งน่าจะเป็นมือปืนอาชีพ เพราะมีพฤติกรรมอุกอาจ บุกเข้ายิงกลางสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน

           สำหรับกล้องวลจรปิดนั้น เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่คืนที่ผ่านมาแล้ว อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นนั้นทราบว่าผู้ตาย มีความระวังตัวอยู่ตลอดเวลามานานแล้วเช่นกัน 

ข่าวอาชญากรรม


[16 มิถุนายน] บุกยิงดับนายกฯ อบจ.ลพบุรี หัวคะแนนพรรคภูมิใจไทย

        มือปืนเหิม ยิงระยะเผาขน นายก อบจ.ลพบุรี พี่ชายผู้สมัคร ส.ส.ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย เสียชีวิต ภรรยา และเลขาฯ บาดเจ็บสาหัส

        เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช อายุ 53 ปี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต บริเวณลานจอดรถของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถ.ราชดำเนิน กทม. ส่วนภรรยาและเลขาฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระฯ

        จากการสอบสวนทราบว่า มือปืนเดินเข้ามาประชิดตัวผู้ตายก่อนจะชักอาวุธปืนไม่ทราบขนาดจ่อยิงระยะเผาขนจนทั้งสามคนล้มฟุบลงกับพื้นก่อนหลบหนีไป ซึ่งหลังจากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล นายสุบรรณ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิต

         ทั้งนี้ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช เป็นพี่ชายของ น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคชาติไทยพรรคพัฒนา ที่ปัจจุบันย้ายมาซบพรรคภูมิใจไทย และลงสมัครสมัคร ส.ส.ลพบุรี ในนาม พรรคภูมิใจไทย ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนสาเหตุของการลงมือสังหาร นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการสอบสวนต่อไป 



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

กระบะชนหัวจ่ายน้ำมัน ปตท.ไฟลุกท่วม-วอด 10 ล้าน

แก็ส

กระบะชนหัวจ่ายน้ำมันปตท.ไฟลุกท่วม (ไอเอ็นเอ็น)

         กระบะชนหัวจ่ายปั๊ม ปตท. ใหญ่สุดในอำนาจเจริญ ระเบิดเพลิงไหม้อย่างหนัก ประเมินเสียหายเบื้องต้น 10 ล้าน  
         เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา พ.ต.อ.วีระพงษ์ พงษ์พุ่ม ผกก.สภ.เมืองอำนาจเจริญ รับแจ้งเหตุไฟไหม้ปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนชยางกูร หน้าศาลากลางจังหวัดอำนาจเจริญ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ระดมกำลังไปช่วยเหลือ พร้อมแจ้งรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองไปสะกัดเปลิวเพลิงที่เกิดเหตุเป็นปั๊ม น้ำมัน ปตท. บนเนื้อที่ 10 ไร่เศษริมถนน ในบริเวณมีร้านเซ-เว่น และศูนย์จำหน่ายสินค้าใหญ่ที่สุดของเทศบาลเมือง เป็นจุดพักรถนักท่องเที่ยวที่เดินทางจาก จ.อุบลราชธานี ไป จ.มุกดาหารตลาดอินโดจีน - สปป.ลาว ซึ่งมีรถแวะจอดไม่น้อยกว่า 200 คันต่อวัน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังฉีดน้ำสะกัดเปลิวไฟอย่างโกลาหล ตรงปั๊มจ่ายที่ไฟไหม้ ตำรวจพบรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า สีขาว ทะเบียน ณ 2551กทม. สภาพถูกไฟไหม้ทั้งคัน

         สอบถาม นายจักรศิลป์ ก่อเศรษฐรัชต์ อายุ 39 ปี เจ้าของรถให้การว่า ตนมีอาชีพขายของขับผ่านมาจะเข้าเติมน้ำมันและหยุดพัก ก่อนเข้าช่องเทียบหัวจ่ายมีรถคันหนึ่งไม่ทราบทะเบียน ถอยออกจากหน้าร้านเซ-เว่น อย่างเร็ว เหมือนควบคุมรถไม่ได้ ตนจึงหักหลบอย่างเร็ว ทำให้รถที่ขับแฉลบชนหัวจ่ายอย่างจัง และเกิดประกายไฟทันที "ผมไม่ได้เมา ไม่ได้ดื่ม เอาผมไปตรวจฉี่ เป่าหาแอลกอฮอล์ก็ได้ มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน" นายจักรศิลป์ กล่าวยืนยัน

         ด้านนายสุรชัย เสงี่ยมศักดิ์ หรือ เสี่ยช้าง เจ้าของปั๊ม กล่าวว่า ปั๊มของตนเป็นปั๊มใหม่เพิ่งตั้งสมบูรณ์แบบ ผมต้องเสียเวลาหยุดขายไปหลายเดือน คาดไม่ถึงว่า จะรุนแรงขนาดนี้ ค่าเสียหายต้องไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต ส่วนเด็กปั๊มที่อยู่ในที่เกิดเหตุการณ์มีหลายคนถูกสะเก็ดไฟ และโดนรถเฉี่ยว 





วอนช่วยสาวป่วยโรคสะเก็ดเงิน - ฐานะยากจน










เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3

          แม่วัย 50 ปี วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือลูกสาวป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินทั้งตัว เผยอยู่อย่างทุกข์ทรมานมานานหลายสิบปี เพราะทางบ้านมีฐานะยากจน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ต.วงฆ้อม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พบครอบครัวหนึ่งมีฐานะยากจน โดยลูกสาวป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน ต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี เนื่องจากไม่มีเงินรักษา เพราะทางบ้านฐานะยากจน

          โดย นางเฉลี้ย มั่นคงดี อายุ 50 ปี เปิดเผยว่า ลูกสาวของตัวเอง น.ส.กิจติยา มั่นคงดี อายุ 18 ปี หรือ น้องอ้อย ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินทั้งตัว มาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ อาศัยอยู่ที่ ต.วงฆ้อม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก โดยเธอมีสภาพร่างกายเป็นแผลทั่วตัว เดินเหินในลักษณะที่หลังค่อม โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้างบางจุดมีเลือดไหลซึมออกมาตลอด และมีแผลแตกแยกจนเห็นเนื้อใน ซึ่งเจ้าตัวต้องใช้มือลูบแกะเกาตลอดเวลา เพราะมีอาการคัน

          ผู้เป็นแม่ เล่าต่อว่า แต่งงานมีลูก 4 คน เป็นหญิง 3 คน ชาย 1 คน ส่วนลูกสาวคนที่เป็นโรค เป็นลูกคนที่ 3 ตอนเกิดมาครั้งแรกก็ปกติไม่มีอะไร เป็นเด็กที่สมบูรณ์ร่าเริง แต่หลังจากอายุได้ประมาณ 3 ขวบ ก็เริ่มมีอาการผิดปกติขึ้นที่ศีรษะ มีแผลพุพอง น้ำเหลืองไหลเยิ้ม รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย กระทั่งอายุ 4 - 5 ขวบ อาการเริ่มเป็นมากขึ้นทั่วตัว จึงได้พาลูกไปหาหมอ และได้รับคำตอบว่าลูกสาวเป็นโรคสะเก็ดเงิน ก็ได้ยามากินและยามาทาบรรเทาอาการเท่านั้น ซึ่งการรักษาต้องใช้เงินจำนวนมากในการฉายรังสี แต่ตนฐานะยากจน มีรายได้จากการรับจ้างทั่วไป แม้กระทั่งบางครั้งก็ไม่มีเงินก็ไปซื้อน้ำมันมะกอกขวดละ 5 บาท มาทาให้ลูกสาว เพื่อบรรเทาอาการคันและแผลตึง จึงอยากวอนขอความเมตตาจากผู้ใจบุญช่วยเหลือครอบครัวด้วย

          ทั้งนี้ พระครูสิทธิธรรมวิภัช เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะ อ.เมืองพิษณุโลก พร้อมคณะกรรมการ ได้นำสิ่งของจำเป็นและอาหารแห้งมามอบให้กับครอบครัวของนางเฉลี้ย พร้อมกับมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ น.ส.กิจติยา มั่นคงดี เพื่อเก็บไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน

          หากผู้ที่มีจิตใจกุศลสามารถช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าวได้ โดยบริจาคเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาพรหมพิราม หมายเลขบัญชี 637-0-05848-3 ในนามของ นางเฉลี้ย มั่นคงดี เพื่อ ด.ญ.กิจติยา มั่นคงดี หรือ หมายเลขบัญชี 087-849175-4



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

เกลียดเด็กแว้น! เก๋งไล่ยิงดับ 1 กลางเมืองชล

ปืน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          เก๋งปริศนาประกบยิงกลุ่มเด็กแว้นกลางเมืองชล ดับ 1 ตำรวจเผยอาจจะเป็นพวกโรคจิตเกลียดเด็กแว้น 

           วานนี้ (19 มิถุนายน) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณจุดกลับรถหน้า บริษัท สหยูเนี่ยน บางพระ ถนนสุขุมวิท เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบ นายตรีเพชร นินนาทนนท์ อายุ 18 ปี มีบาดแผลถูกยิงที่แขนขวา 1 นัด และที่ชายโครงซ้าย 1 นัด นอนหายใจรวยริน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะช่วยกันหามส่งโรงพยาบาล แต่ผู้ได้รับบาดเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ใกล้กันนั้นพบรถจักรยานยนต์ของผู้ตายล้มคว่ำอยู่ กระจกหลังข้างซ้ายถูกยิงแตกเป็นรู และพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่  2  ปลอก 

            จากการสอบสวนเบื้องต้น พยานที่เห็นเหตุการณ์ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้ขี่จักรยานยนต์มาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนประมาณ 5-6 คัน ด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งมาในที่จุดเกิดเหตุ มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่ง ภายในรถมีชายหญิงนั่งมาด้วยกัน 4 คน ขับสวนทางมา เมื่อพบกับกลุ่มวัยรุ่น ก็ได้กลับรถขับตามประกบ ก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงกระหน่ำหลายนัด จนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายเสียหลักล้มลงข้างทาง ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นเพื่อนผู้ตายพากับขับรถจักรยานยนต์หนีตายกันอลม่าน

          ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะมีเรื่องกับกลุ่มผู้ตายมาก่อน เมื่อขับรถมาพบจึงได้เข้าประกบยิง หรือไม่ก็เป็นพวกที่ไม่ชอบเด็กแว้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว คือมีรถเก๋งขับไล่ยิงกลุ่มเด็กแว้น หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่สามารถจับกุมได้ อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งสอบสวบ และติดตามผู้ร้ายมาดำเนินคดีต่อไป




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก 
 http://hilightad.kapook.com/img_cms2/logo/dailynews.jpg

กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ทำท่าแพลงกิ้ง

เสื้อแดง


กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงทำท่าแพลงกิ้ง (ไอเอ็นเอ็น)

         กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ทำแพลงกิ้ง นอนเรียงยาวเป็นแถวโดมิโน่ ดึงดูดความสนใจจากประชาชน จำนวนมาก พร้อมโห่ร้อง ทวงถาม การเสียชีวิตของเสื้อแดง 91 ศพ

         บรรยากาศกที่บริเวณแยกราชประสงค์ ในขณะนี้ บรรดาสมาชิกของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ที่มารวมตัวกันร่วมกิจกรรมครบรอบ 1 ปี 1 เดือน ในการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้มีการทำกิจกรรมแพลงกิ้ง ซึ่งเป็นการนอนเรียงกันเป็นแถวยาว ในลักษณะโดมิโน่ ซึ่งมีความยาวตั้งแต่บริเวณป้ายแยกราชประสงค์ ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ผู้ชุมนุมต่างงโห่ร้อง ทวงถามการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงทั้ง 91 ศพ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัย ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด

         อย่างไรก็ตาม การทำกิจกรรมแพลงกิ้งนี้ สามารถดึงดูดใจของประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก 






วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พบซากงูเหลือมหลายร้อยกระสอบ คาดชำแหละทำลูกชิ้น













เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3

          ชาวบ้านเมืองเพชรบูรณ์ พบซากงูตายกว่าร้อยกระสอบ คาดโดนชำแหละส่งเนื้อขายทำลูกชิ้น

          วานนี้ (16 มิถุนายน) ชาวบ้านใน ต.บ้านโตก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์  เข้าร้องเรียนแก่เจ้าหน้าที่ว่า ได้กลิ่นเน่าเหม็นอย่างรุนแรง บริเวณถนนสายบายพาส บ้านโป่ง หลักกิโลเมตรที่ 4 จึงได้เดินสำรวจตามกลิ่นดังกล่าว จนกระทั่งพบกระสอบกองรวมกันกว่า 100 กระสอบบริเวณข้างทาง เมื่อเปิดกระสอบดู ชาวบ้านถึงกับผงะ เพราะในกระสอบดังกล่าวมีซากงูเหลือมหลายตัวที่ผ่านการชำแหละแล้ว เหลือเพียงเศษเนื้อ และกระดูกเท่านั้น

          นางคำพวง ขวัญแหวน ชาวบ้านในละแวกนั้น กล่าวว่า เมื่อพบซากงูทำให้ตนฉุกคิดขึ้นได้ว่า มีข่าวเรื่องชำแหละงูส่งโรงงานทำลูกชิ้น ซึ่งจากหลักฐานดังกล่าว โรงงานที่ว่าคงจะมีจริงโดยชาวบ้านได้เล่ากันว่า งูเหลือมมีค่าตัว ตัวละ 300 - 500 บาท เมื่อจับงูได้จะนำไปถ่วงน้ำจนตาย เพราะเชื่อกันว่า ถ้านำงูถ่วงน้ำ เนื้องูจะหวานและอร่อยกว่าทุบให้ตายหรือนำเอาไปตัดคอ อีกทั้งถ้านำไปทำลูกชิ้น เมื่อนำเนื้องูไปผสมกับเนื้อสัตว์อื่น จะมีเนื้อที่นุ่มเหนียวและอร่อยมาก 

          นอกจากนี้ ซากงูดังกล่าวที่พบหลายร้อยกระสอบ ซึ่งบางกระสอบก็มีร่องรอยเหมือนถูกทิ้งไว้นาน แล้วบางกระสอบก็เหมือนเพิ่งนำมาวางไว้ และจากการดูสภาพซากงูแล้ว พบว่า คนที่ชำแหละงูต้องเป็นมืออาชีพมาก ๆ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้แต่อย่างใด


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชาวปทุมตื่น! รอยเท้าลึกลับโผล่กลางถนน ชาวปทุมตื่น! รอยเท้าลึกลับโผล่กลางถนน








เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจากYoutube.com โพสต์โดย TungstenPalm, รายการเรื่องเล่าเช้านี้ 


          ตื่น! รอยเท้าปริศนานับร้อยโผล่กลางซอยสุขสมบูรณ์ ย่านปทุมธานี ชาวบ้านจับกลุ่มวิจารณ์แซ่ด

          เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในชุมชนเอราวัณพัฒนา ซอยสุขสมบูรณ์ หมู่ที่ 7 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า พบรอยเท้าปริศนาคล้ายรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตนับร้อยรอยอยู่บนถนนภายในซอย สร้างความแตกตื่นและประหลาดใจให้ชาวบ้านเป็นอย่างมาก

          จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบภายในซอยดังกล่าว ก็พบรอยเท้าปริศนานับร้อยรอยกินพื้นที่ยาวประมาณ 150 เมตรอยู่บนถนนในซอยจริงดังที่ได้รับแจ้ง โดยรอยเท้าดังกล่าวเริ่มต้นที่หน้าบ้านของนายชมพู พรหมน้อย อายุ 60 ปี ก่อนไปสิ้นสุดที่บริเวณปากซอยซึ่งเป็นทางโค้ง โดยลักษณะคล้ายรอยเท้าของสัตว์ เท้ามีความยาว 16 เซนติเมตร กว้าง 8 เซนติเมตร และมีส่วนเล็บออกมาจากอุ้งเท้าความยาว 5 เซนติเมตร 

          โดยนางสมจิตต์ จิตสว่าง ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวว่า ช่วงเช้ามีเพื่อนบ้านมาบอกตนว่า เจอรอยเท้าประหลาดไม่ทราบว่าเป็นของสัตว์ชนิดใดอยู่บนพื้นหน้าบ้าน ตนจึงเดินออกไปดู แล้วต้องประหลาดใจ เพราะรอยเท้าที่เห็นไม่ใช่รอยเท้าของสุนัขแน่นอน จึงได้ตามญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านในละแวกนั้นมาพิสูจน์กัน โดยลองใช้น้ำราดพื้นคอนกรีตบนถนนแล้วพยายามขัดรอยเท้าออก แต่รอยเท้าดังกล่าวกลับฝังแน่นอยู่บนพื้น ทำให้ชาวบ้านจับกลุ่มคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่า เป็นรอยเท้าของสัตว์ชนิดใดกันแน่ อย่างไรก็ตาม มีเรื่องน่าสงสัยเกิดขึ้นในคืนก่อนที่จะพบรอยเท้า คือสุนัขที่ตนเลี้ยงไว้ส่งเสียงเห่าหอนอย่างผิดปกติ เมื่อเวลาประมาณตี 1 แต่ตอนนั้นตนไม่ได้เอะใจอะไร

          ขณะที่นายเสน่ห์ ชะวัยเกตุ อายุ 65 ปี ผู้รับเหมาก่อสร้าง กล่าวว่า รอยเท้าที่พบน่าจะเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตที่มีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าประหลาดใจว่า พื้นคอนกรีตบริเวณที่รอยเท้าปรากฎคล้ายกับถูกโซดาไฟราดจนกัดกร่อน จนทำให้พื้นบริเวณใกล้เคียงดูขาวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

          ด้านนายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางมาตรวจสอบรอยเท้าดังกล่าวแล้ว ระบุว่า รอยเท้าที่พบเป็นรอยเท้าที่มีน้ำหนักฝังลงไปในพื้นถนนปูน ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ และได้ลองใช้ไม้เหล็กกระแทกพื้นดูก็ไม่สามารถทำให้พื้นเป็นรอยได้ จึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ธรณีวิทยาเข้ามาตรวจสอบต่อไปว่า เป็นรอยเท้าอะไรกันแน่

          ขณะที่นายมาโนชย์ ธนะโสธร นักวิชาการสัตวบาลชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีการปศุสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ารอยเท้าดังกล่าวมีจำนวน 149 รอย และไม่น่าเป็นรอยเท้าของสัตว์ที่เดินปกติ แต่เป็นการเดินของสัตว์อะไรก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ เพราะมีรอยเล็บจำนวน 4 นิ้ว ขีดข่วนเป็นรอยอยู่ในพื้นปูนให้เห็นเหมือนคนเดินเป็นจังหวะ ซึ่งจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบต่อไป






อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก

คุก 6 เดือน เปิ้ล-นาคร คดีหมิ่นนักธุรกิจหนุ่ม

เปิ้ล นาคร

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

        เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2554 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ได้อ่านคำพิพากษาว่า นายนาคร ศิลาชัย หรือเปิ้ล นาคร ดาราและพิธีกรชื่อดัง มีความผิดจริงฐานหมิ่นประมาท ต้องโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 4 หมื่นบาท แต่จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี

         ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก นายนาคร ถูกฟ้องร้องโดยนายสุวิทย์ เพชรจำรัส ซึ่งรับอำนาจแทนพายุ หรือนายพรรณธฤต เนื่องจำนงค์ นักธุรกิจหนุ่มด้านเครื่องเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งฟ้องฝ่ายจำเลยว่าได้ดูหมิ่นนายพรรณธฤต ในช่วงวันที่ 29-31 มีนาคม 2553 จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายแขนงในทำนองว่า ฝ่ายโจทก์ยังค้างชำระสปอนเซอร์ทีมเรือเจ็ตสกีของตน ทั้งที่ความจริงได้ให้ไปครบถ้วนแล้ว ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด ถือเป็นการดูหมิ่น และทำให้ฝ่ายโจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

          โดยฝ่ายโจทก์ได้ให้จำเลยลงคำตัดสินคดีนี้ในหนังสือพิมพ์ 7 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน แม้ในเบื้องต้นจำเลยได้ให้การปฏิเสธจะทำตาม แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทำผิดจริง จึงพิพากษาให้ลงโทษตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้อง รวมทั้งรอลงอาญาโทษตามที่ศาลตัดสินอีก 2 ปี


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
 

ไทยจ่อนำข้อมูลสายลับเขมรฟ้องศาลโลก


 
 จับกุม
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

            เจ้าหน้าที่จับ 3 ผู้ต้องสงสัยเป็นสายลับให้เขมร หลังเข้ามาสอดแนมหาพิกัดที่ตั้งทหาร และสำรวจหลุมหลบภัยชาวบ้าน ด้านนายกฯ ขู่นำข้อมูลนี้ฟ้องศาลโลก

            วานนี้ (มิถุนายน) ที่ สภ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ  พ.ต.อ.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผกก.สภ.กันทรลักษ์ พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ. กันทรลักษ์ และคณะนายทหารกองกำลังสุรนารี แถลงผลการจับกุม 3 ผู้ต้องสงสัยเป็นสายลับเข้ามาสืบหาข่าว และหาพิกัดที่ตั้งของทหารให้ประเทศกัมพูชา ซึ่งประกอบไปด้วย นายสุชาติ มูฮำหมัด อายุ 32 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย นับถือศาสนาอิสลาม นายอึ้ง กิมไทย อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา เชื้อชาติกัมพูชา นับถือศาสนาพุทธ และนายเหวียง เติ้งยัง อายุ 37 ปี สัญชาติเวียดนาม เชื้อชาติเวียดนาม นับถือศาสนาพุทธ

            ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานจากสายข่าวว่า มีกลุ่มบุคคลซึ่งมีคนไทยรวมอยู่ด้วยได้แฝงตัวเข้ามาหาข่าวโจรกรรมข้อมูล โดยสอดแนมฐานที่ตั้งของทหาร และสำรวจหลุมหลบภัยของชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เจ้าหน้าที่จึงตระเวนออกตรวจพื้นที่ และพบชายต้องสงสัย 3 คน ขับรถปิกอัพโตโยต้า วีโก้ สีดำ ทะเบียน ชว 1901 กรุงเทพมหานคร วนเวียนอยู่ในพื้นที่อย่างมีพิรุธ จึงได้เรียกตรวจ แต่รถคันดังกล่าวกลับเร่งเครื่องหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ตามและสามารถจับกุมรถคันดังกล่าวไว้ได้

            โดยจากการตรวจค้นภายในรถพบแผนที่ทางทหารของกัมพูชา มาตราส่วน ต่อ 50,000และแผนที่ประเทศไทย มาตราส่วน ต่อ 1,200,000 พร้อมโทรศัพท์มือถือ เครื่อง โดยในแผนที่ประเทศไทยมีการจดข้อความพิกัดหมายเลข 10 หลัก ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันเฉพาะผู้ต้องหา อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ยังไม่ได้ให้การที่เป็นประโยชน์ใด ๆ แต่ขณะนี้ทหารการข่าวของกองกำลังสุรนารี ได้เร่งถอดรหัสตัวเลข 10 หลัก ที่ผู้ต้องหาจดไว้ในแผนที่ประเทศไทยแล้ว เชื่อว่าน่าจะทราบผลได้ในไม่ช้านี้

            นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากนำตัวผู้ต้องหาไปตรวจปัสสาวะยังพบว่า นายสุชาติ คนไทยซึ่งเป็นคนขับรถ และนายอึ้ง มีสารเสพติดในร่างกาย ก่อนที่ทั้งสองจะรับสารภาพว่า เสพยาบ้ามาก่อนหน้านี้ ขณะที่นายทหารระดับสูงของกองทัพแห่งชาติกัมพูชา ได้ประสานงานมายังกองกำลังสุรนารี เพื่อขอตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน กลับมาสอบสวนที่ประเทศกัมพูชาแล้ว แต่ทางฝ่ายไทยไม่ยินยอม และยืนยันจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

          ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นนี้หลังทราบเรื่องว่า ต้องดำเนินการสอบสวนถึงสาเหตุ และวัตถุประสงค์ของคนกลุ่มนี้ โดยดำเนินคดีตามกฎหมายของไทย และแจ้งให้ทางกัมพูชาทราบว่า ไทยไม่ยอมรับการกระทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นถือนี้ไทยสามารถบอกกับเวทีต่าง ๆ ในโลกได้ว่ากัมพูชามีเจตนาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลดังกล่าวเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการมรดกโลก หรือยื่นต่อศาลโลก แต่ต้องพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ก่อน ซึ่งอย่างไรเสียข้อมูลตรงนี้เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทยอย่างแน่นอน
          ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ไทยยังไม่มีแนวคิดที่จะไปขอเจรจาเปลี่ยนตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับกัมพูชา และยังไม่ได้รับรายงานว่าทางกัมพูชาได้ติดต่อประสานอะไรมาหรือไม่



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

  

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ซึ้ง! คุณแม่ลูก 8 เป็นมะเร็ง สอนสามีเลี้ยงลูกก่อนตาย



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล              

            เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวสุดเศร้าของ แองเจล่า มิลธอร์ป คุณแม่ลูก 8 ผู้พบว่าตนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย  และมีความตั้งใจที่จะสอนสามีให้เลี้ยงลูกให้ได้ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต 

            โดย แองเจล่า มิลธอร์ป เป็นคุณแม่ลูก 8 วัย 47 ปี ที่โชคชะตาเล่นตลกทำให้เธอต้องป่วยเป็นมะเร็งเต้านมตั้งแต่อายุ 29 ปี และเป็นมะเร็งปอดซ้ำ ก่อนที่จะเสียชีวิตไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่ถึงแม้ว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่เรื่องราวสุดประทับใจของเธอกลับถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง โดยสามีของเธอเอง ที่เปิดเผยว่า แองเจล่าได้ทุ่มเทเวลา 6 เดือนสุดท้ายของชีวิต ในการถ่ายทอดความเป็นแม่ให้แก่สามี เพื่อให้แน่ใจว่าสามีจะสามารถดูแลลูกได้ เมื่อเธอจากไปนั่นเอง

            สำหรับเรื่องราวสุดประทับใจนี้ เอียน มิลธอร์ป สามีวัย 49 ปีของแองเจล่า ได้เปิดเผยว่า "บางคนอาจจะกลัวเมื่อต้องเลี้ยงลูกถึง 8 คน แต่ภรรยาของผมก็ทำให้ผมมั่นใจว่าผมทำได้ ซึ่งถ้าไม่มีการเตรียมพร้อม 6 เดือนนี้ ผมก็ไม่สามารถทำมันได้แน่ ๆ แต่ตอนนี้ผมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าผมสามารถทำได้จริง ๆ จริงอยู่ที่ว่าผมเสียใจที่แองจี้กำลังจะจากไป แต่ผมก็ต้องแน่ใจว่าผมจะสามารถเลี้ยงลูก ๆ ให้เป็นคนมีศักยภาพได้ตามที่แองจี้ต้องการได้ และเธอก็ได้ทำดีที่สุด เพื่อให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ"

            สำหรับโรคร้ายที่แองเจล่าเผชิญอยู่นี้  เอียน มิลธอร์ป ได้เปิดเผยว่า ภรรยาของเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะ เร็งทรวงอกเมื่อปี พ.ศ. 2546 ขณะมีอายุได้ 29 ปี ซึ่งตอนนั้นเขาและเธอแต่งงานกัน และมีลูกชายด้วยกันแล้วถึง 3 คน แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง แองเจล่ารู้สึกได้ว่ามีก้อนเนื้อที่หน้าอกขอเธอ แต่เธอก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเนื้อร้ายเพราะเธอคิดว่าเธออายุยังไม่มาก ตอนนั้น ลูกชายของเธออายุได้ 8 , 7 และ 4 ขวบเท่านั้น พวกเขายังอายุน้อย แองเจล่าเลยไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก และไม่เคยคิดว่าเธอจะต้องมาต่อสู้กับโรคร้ายนี้เลย

            หลังตรวจพบ เธอก็เข้ารับการผ่าตัดเต้านม และทำการเคมีบำบัดมาตลอด 5 ปีหลังจากนั้น แต่ทั้งคู่ไม่คิดที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้ลูก ๆ ได้รับรู้ และยังมีแผนการที่จะมีลูกคนต่อไป โดยเอียนได้เปิดเผยว่า "แองจี้รู้สึกสิ้นหวังที่จะมีลูกคนต่อไปอีก แต่หมอก็ได้ให้คำแนะนำว่าเธอสามารถตั้งครรภ์หลังเข้ารับการบำบัดได้ ดังนั้น เธอจึงมาถามผมว่าถ้าพวกเราจะมีลูกหลังการรักษาเสร็จสิ้นลงคุณจะเห็นด้วยไหม ผมตอบเธอโดยทันทีว่า แน่นอน เพราะผมรู้ว่าเธอรักการเป็นแม่คนเหนือสิ่งอื่นใด โดยวิถีชีวิตของเธอนั้น จะใช้เวลาอยู่กับลูกตลอดไม่ว่าจะ พาลูกไปโรงเรียน หรือ พาไปดูฟุตบอล และทำกิจกรรมร่วมกันอีกมากมาย ดังนั้นหลังจากการบำบัดเสร็จสิ้น ผมจึงมีลูกชายคนที่ 4 กับเธอทันที และตอนนั้น แองจี้รู้สึกตื่นเต้นที่จะเป็นแม่คนอีกครั้ง แม้ว่าเธอได้ผ่าตัดเต้านมออกไปแล้ว เธอก็ยังคงจะให้นมลูกอยู่ดี เพราะเธอมีความสุขที่ได้นั่งให้นมลูก กล่อมลูกจนผล็อยหลับไป" เอียนกล่าว 

            และไม่เพียงแค่นั้น ด้วยความที่แองเจล่านั้นรักในการเป็นแม่ และรู้สึกว่ามันเป็นความปลาบปลื้มใจที่เธอจะได้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ เธอจึงให้กำเนิดคู่ฝาแฝด เจคและเจด อีก 2 ปีต่อมา ตามมาด้วยลูกชายคอรี่ ลูกสาวเอลล่า และโรส ตามลำดับ และในที่สุด ครอบครัวของแองเจล่าก็มีเด็ก ๆ ถึง 8 คน

            ดูเหมือนว่าชีวิตครอบครัวของแองเจล่ากำลังดำเนินมาถึงจุดที่มีความสุขที่สุดแล้ว แต่แล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 โชคชะตากลับเล่นตลกกับคุณแม่ที่แสนดีของลูก ๆ ทั้ง 8 คนนี้อย่างน่าเศร้า เมื่อจู่ ๆ แองเจล่าก็ไอโดยไม่มีเสมหะ  เธอจึงไปพบแพทย์และได้ทราบข่าวร้ายว่า มะเร็งร้ายได้กลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้เกิดขึ้นที่ปอดและไม่สามารถรักษาได้อีกต่อไป 

            แต่ถึงแม้จะรู้ดีว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอกำลังจะมาถึงและเธอเองก็อ่อนเพลียมากจากการรักษาด้วยคีโมบำบัด แต่เธอก็ไม่เคยท้อและไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอคิดถึงแต่สามีและลูก ๆ ที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะการมีครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ทำให้เธอเป็นกังวลมาก เธอจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะสอนให้สามีได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงลูก โดยเอียน ได้เปิดเผยว่า "เธอค่อย ๆ สอนผมว่าควรทำอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งนั่งดูและให้คำ แนะนำโดยตลอด ซึ่งในตอนแรกมันอาจจะยาก แต่เมื่อผมได้ทำบ่อย ๆ  มันก็ง่ายขึ้น โดยเธอสอนผมว่าจะสระผม อาบน้ำให้เด็กน้อยได้อย่างไร และจะทำอย่างไรไม่ให้สบู่เข้าตา เป็นต้น และนอกจากนี้เธอยังสอนให้ผมรู้จักทำงานบ้านต่าง ๆ ทำอาหารมื้อโปรดให้ลูก ๆ ทาน สอนทำการบ้านให้ลูก ๆ อีกด้วย"

            หลังจากสอนทักษะทุกอย่างให้กับเอียนจนแน่ใจว่าเขาจะสามารถเลี้ยงดูลูก ๆ ได้แล้ว แองเจล่าก็ได้จากไปอย่างสงบเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2553 ขณะที่ลูก ๆ ของเธอประกอบไปด้วย ไรอัน เดมอน รีเช่ คอนเนอร์ คู่แฝด เจคและเจด คอรี่และเอลล่า โรส โดยทั้งหมดมีอายุ 25, 23, 20, 11, 9, 4 และ 3 ปีตามลำดับ ขณะที่เอียน สุดยอดคุณพ่ออันเป็นที่รักของลูก ๆ ในวันนี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า "เราไม่อยากจะเชื่อว่าแองจี้ได้จากไปแล้ว เธอเป็นแสงสว่างให้ครอบครัวของเรา ต้องขอบคุณการสอนทุกอย่างของเธอ ที่ทำให้ผมสามารถดูแลครอบครัวได้ด้วยตนเองหลังจากนี้ได้ ณ วันนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถแทนที่ภรรยาได้ทั้งหมด แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างที่ผมทำได้ เพื่อทำให้เธอได้ภูมิใจในครอบครัวของเรา ผมโชคดีจริง ๆ ที่มีภรรยาที่สอนความเป็นแม่ให้กับผม มันทำให้การเลี้ยงดูลูกเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นมากเลยจริง ๆ"





ทำนายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 1 เมตร ใน 100 ปี

ทะเล



ทำนายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น1เมตรใน100ปี (ไทยโพสต์)

          ผลวิจัยฟันธง อีกร้อยปีน้ำทะเลจะสูงขึ้น 1 เมตรโดยเฉลี่ย ส่งผลให้น้ำท่วมเมืองตามชายหาด และภัยธรรมชาติที่ 100 ปีมีสักหนจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

          คณะกรรมาธิการด้านสภาพอากาศ ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลออสเตรเลีย ออกรายงานอย่างเป็นทางการระบุหลักฐานชี้ว่า ผิวโลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และชี้อีกว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

          ศาสตราจารย์วิน สเตฟเฟน จากคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า "ผมคาดว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นในปี 2643 ราว 0.5 ถึง 1 เมตรจากระดับความสูงในปี 2533"

          เขากล่าวว่า แม้ตัวเลขระดับน้ำทะเลจะสูงกว่าที่คณะกรรมการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนานาชาติ เคยทำนายเอาไว้ที่ระดับต่ำกว่า 0.8 เมตร แต่ไม่ถือว่าขัดแย้งกันแต่อย่างใด เพราะคณะกรรมการนานาชาติเคยระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะปรับสูงขึ้นได้อีก

          รายงานระบุว่า หากน้ำทะเลสูงขึ้นแค่ 0.5 เมตร ก็จะสร้างผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล เช่น เมืองชายหาดต่าง ๆ อาจถูกน้ำทะเลท่วม และภัยธรรมชาติที่นับว่า 100 ปีจะเกิดสักหนอาจเกิดขึ้นได้รายปี
          รายงานเตือนอีกว่า ไฟป่า น้ำท่วม และพายุไซโคลนในออสเตรเลีย อาจเพิ่มความรุนแรงขึ้นเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งวันที่ร้อนที่สุดของออสเตรเลียในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10 เมืองใหญ่ ที่ใคร ๆ ก็หลงคิดว่าเป็น เมืองหลวงของประเทศ

ถ้ามีคนถามว่า เมืองหลวงของออสเตรเลียคือเมืองอะไร? และคุณตอบว่า "ซิดนีย์" ขอเชิญอ่านบทความนี้อย่างด่วน!!
เมือง ที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรือเป็นการค้าที่มีชื่อเสียง อาจไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจผิด ต่อไปนี้คือ รายชื่อ 10 เมืองใหญ่ ที่ใคร ๆ มักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมืองหลวง เพราะดันมีชื่อเสียงและมีคนรู้จัก มากกว่าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการซะอีก


1.นิวยอร์ค ซิตี้ มลรัฐนิวยอร์ค :
 หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า แหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งของโลกอย่างนิวยอร์ค เป็นเมืองเอกของมลรัฐ แท้จริงแล้ว กลับเป็นเมืองชื่อไม่คุ้นอย่าง "Albany" แหม ใครจะไปคิด...


2.ซิดนีย์ ออสเตรเลีย :
 ซิดนีย์กลายเป็นเมืองที่คึกคักที่สุด เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งช้อบปิ้ง และอื่นๆ อีกเพียบ จนหลงคิดว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศ แท้จริงแล้ว "เมืองเพิร์ท" ตะหากที่ครองตำแหน่ง...


3.ชิคาโก้ มลรัฐ อิลินอยส์:
 เมืองดังด้านกีฬา ตลาดริมทางและพิซซ่า กลับเป็นเพียงเมืองธรรมดา ๆ ที่ไม่ใช่เมืองเอก เพราะเรื่องจริงมีอยู่ว่า บ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น กลับเป็นเมืองเอก และท่านเกิดที่ "เมืองสปริงฟิลล์"


4. ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล:
 อ้าว..งงล่ะสิ ใครจะไปคิดว่าเมืองแห่งพาเหรดและคานิวัลสุดอลัง จะไม่ใช่เมืองหลวงแซมบ้า แต่กลับเป็นเมืองที่มีชื่อว่า "บราซิเลีย" ใครตอบข้อนี้ถูก ข้าพเจ้าของซูฮก


5.กรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี:
 ประเทศฉากหลังของภาพยนต์เรื่อง "ทรอย" เมืองแห่งเติร์กและจักรวรรดิออตโตมัน แต่อิสตันบลูเป็นเพียงเมืองธรรมดา ๆ เพราะเมืองหลวงของตุรกีเขาชื่อ "อังการา"


6.เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์:
 เจนีวาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ เพราะเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติสำคัญๆ หลายองค์กร เช่น สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป, องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การการค้าโลก (WTO) หลายคนเลยหลงคิดว่า ที่นี่คือเมืองหลวง...คำตอบที่ถูกต้อง กลับเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกอย่าง "เมืองเบิร์น"


7.โจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้:
 ข้อนี้ขอเฉลยตรง ๆ เรียงลำดับตามความสำคัญ เพราะแอฟริกาใต้เค้ามีเมืองสำคัญ ๆ เยอะมากก.. ดังนี้ Johannesburg เป็นเมืองศูนย์กลางการบิน อุตสาหกรรม Cape Town เป็นที่ตั้งสภานิติบัญญัติและเมืองท่าฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก,เมือง Blemfontein เป็นที่ตั้งศาลสูง ส่วนเมืองหลวงจริง ๆ เป็นเมืองที่เราได้ยินชื่อน้อยมาก เมืองนั้นชื่อ "กรุงพริทอเรีย"


8. ทิม บัคตู มาลี:
 สาธารณรัฐมาลี มีเมืองหลวงชื่อ "กรุงบามาโก" ส่วนทิมบัคตู เป็นเมืองโบราณที่กำลังจะได้รับจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลก


9. ลาสเวกัส เนวาดา:
 เมืองของนักเสี่ยงโชค แสง สี แสง และบ่อนคาสิโน กลับไม่ใช่เมืองหลวง เพราะมลรัฐเนวาดา หรือ บ้านเกิดของนักเทนนิสระดับโลก อังเดร อกัสซี มีเมืองหลวงชื่อว่า "คาร์สัน ซิตี้"


10. คาซาบลังกา โมร็อกโก:
 สวรรค์ของนักเดินทางอย่างประเทศโมร็อกโก ไม่ได้มีเมืองหลวงที่ชื่อ "คาซาบลังกา" แต่ชื่ออย่างเป็นทางการของเมืองหลวงประเทศนี้ ออกเสียงว่า "ราบาต " ไม่ใช่ ราแบต (Rabat)


ถ้าคุณตอบคำถามได้ทุกข้อ แสดงว่าความรู้รอบตัวของคุณนั่นเข้าขั้นดีเยี่ยม แต่หากตอบผิดสัก 3-4 ข้อ เราพอให้อภัยได้ เพราะอาจจะเข้าใจผิด


แต่! ถ้าตอบผิดทุกข้อ แนะนำว่าอย่าพึ่งเล่นเกมทายปัญหาเชาว์กับใคร เพราะคุณอาจพลาดรางวัล แถมยังถูกเพื่อนล้อ ว่า...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย


Content by VoiceTV

 

ตำนานรักแห่งทัชมาฮาล


ทัชมาฮาลตำนานแห่งความรัก

ทัชมาฮาลคือตัวอย่างของตำนานแห่ง  ความรัก ที่ปราศจากนิยามคำนี้ ผู้ที่สร้างตำนานความรักอันยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์ชาห์ญะฮาน กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมเลกุล ที่ทรงโปรดให้สร้าง ตาซมะฮัลหรือ ทัชมาฮาลขึ้นเป็นอนุสรณ์แทนความรักที่พระองค์มีต่อมเหสีคือ พระนางมุมตาซ มะฮัล จนสถานทีแห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่งดงามที่สุดในโลก

ทัชมาฮาล เป็นสุสานฝังศพตั้งอยู่ที่ตอนโค้งของแม่น้ำยมนาฝั่งขวาเมืองอัคระ ประเทศอินเดีย ชาห์ญะฮาน สร้างเป็นศรีสง่าแก่บริเวณพระราชวัง สำหรับเก็บศพพระมเหสี สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1630-1648 ด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอยสีฟ้า หินสีฟ้า โมรา หินทองแดงหินลาย พลอยสีเขียว นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่ได้มาจากนานาประเทศที่เป็นมิตรซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วนและวิจิตรงดงามที่สุดกว้างยาวด้านละ 39 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตรมีผู้ร่วมสร้างเป็นผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วย กระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปีภายหลังที่สร้างทัชมาฮาล  ชาห์ชะฮานใฝ่ฝันที่จะสร้างที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆแต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปีก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี  พ.ศ.2209  (ค.ศ.1666)  แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้



ที่มา FW-mail